เป็นหนึ่งในตำนานตลอดกาลบนแผ่นพื้นแอนฟิลด์ สตีเวน เจอร์ราร์ด มีชื่อเต็ม คือ Steven George Gerrard ผู้ที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับวงการฟุตบอล ถึงขั้นมีหนังสือออกมา “สตีเวน เจอร์ราร์ด ตำนานตลอดกาลแห่งแอนฟิลด์” สำหรับบางคนอาจจะมองเขาว่าไม่ใช่นักเตะที่ยิ่งใหญ่อะไรนัก แต่ที่มั่นใจได้คือเขาคือนักกีฬาฟุตบอลผู้ทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับทีมชาติและสโมสรบนสหราชอาณาจักร
กัปตันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูล

มีความจงรักภักดีที่สุดในยุคสมัยของเขา ตลอดระยะเวลาหลายปีที่แอนฟิลด์ล้วนแต่เป็นความเต็มใจเพื่อสโมสรอันเป็นที่รัก ถึงขั้นได้รับการอวยยศเป็นสมาชิกแห่งจักรวรรดิบริเตน โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร การลงสนามมากกว่า 700 เกม ยิงประตูได้มากกว่า 180 ประตู ค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล มายาวนานถึง 17 ปีซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะสำหรับตำแหน่งนี้ ทั้งยังลงเล่นในนามทีมชาติอังกฤษถึง 114 นัด ทำให้สตีเวน เจอร์ราร์ด กลายเป็นบุคคลต้นแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศคนหนึ่ง ชายผู้เป็นที่รักของแฟนๆ ลิเวอร์พูลทุกคนในโลกใบนี้

สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นกองกลางพลังไดนาโม เริ่มต้นจากตำแหน่งปีกขวา ขยับมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ แต่เพราะว่าเป็นนักเตะที่มีความสามารถช่วยเกมรับ และมีทักษะการเติมเกมรุก นอกจากนี้ยังยิงไกลได้แม่นยำ ทำให้ เจอร์ราร์ด จึงค่อยๆเปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาเป็นกองกลางเชิงรุก

ข้อมูลส่วนตัวของสตีเวน เจอร์ราร์ด

ชื่อเต็ม: Steven George Gerrard
ฉายา: Stevie G
เกิดวันที่: 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980
สถานที่เกิด: วิสตัน อังกฤษ
สูง: 184 ซ.ม.
ตำแหน่ง: กองกลาง (กองกลางตัวรุก กองกลางตัวรับ กองกลางตัวรุกกราบขวา)

ก่อนการค้าแข้งบนเส้นทางอาชีพ

สตีเวน เจอร์ราร์ด เริ่มต้นเส้นทางด้วยการลงเล่นฟุตบอลให้กับโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ จากนั้นตอนที่อายุ 8 ปีเขาเป็นสมาชิกของทีม ลิเวอร์พูล วายทีเอส กลายเป็นผลผลิตนักเตะเยาวชนของโรงเรียนฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) ในตอนเริ่มเล่นในช่วงแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีมหงส์แดงในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1997 โดยที่มีเงินค่าจ้างก้อนแรกอยู่ที่ 700 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (คนอังกฤษมีรายรับเฉลี่ยอยู่ที่เพียงคนละ 1,400 ปอนด์ต่อเดือน) นับได้ว่าอายุ 17 ปีก็มีรายรับมากมายกว่าคนทั่วไปที่กำลังทำงานแล้ว

เข้าสู่เส้นทางค้าแข้งกับสโมสรหงส์แดง

1998-2000 : ช่วงเริ่มต้นการค้าแข้ง

ฤดูกาล 1998-1999 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1998 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรกพบกับทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์ ลงเล่นให้ทีมจนสิ้นสุดฤดูกาลเป็น 12 นัดและนัดสุดท้าย คือทีม เซลต้า บีโก้ ในถิ่นแอนฟิลด์แม้ว่าจะแพ้ แต่ เจอร์ราร์ด ในนัดนั้นได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก ว่าจะมีอนาคตที่ดีในทีมอย่างแน่นอน

ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสให้ลงเล่นในนามทีมชุดใหญ่ของหงส์แดงอย่างเต็มตัว ภายใต้การคุมบังเหียนของเชราร์ด อุลลิเย่ร์ หนุ่มน้อยเลือดสเก๊าซ์ ยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างสม่ำเสมอคู่กับ เจมี่ เร้ดแนมป์ โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ประตูแรกของเจอร์ราร์ดเกิดขึ้นในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ 4-1 ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับ ใบเหลือง และ ใบแดง บ่อยครั้ง

แม้ว่าฤดูกาลนี้จะไม่ค่อยรื่นรมย์สำหรับ เจอร์ราร์ด เนื่องจากเกิดเหตุประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หลังอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาต้องหยุดพักรักษาจากทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด จนมีข่าวออกมาว่า แฟนบอลทีม “หงส์แดง” อาจไม่ได้เห็นการเล่นฟุตบอลของเขาจนจบฤดูกาลเลยก็เป็นได้ แม้ว่าจะเป็นการพักรักษาตัวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เจอร์ราร์ด ก็กลับมาลงสนามได้ตามปกติ

2000-2004 : ช่วงระยะเวลาแห่งความสำเร็จ

ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดในวัย 20 ปีที่สามารถสลัดอาการบาดเจ็บจากฤดูกาลก่อนหน้านี้ และเล่นได้อย่างดีมากๆ จนทำให้ได้รับตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ จากการลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิง 7 ประตู และ เกมยูฟ่าเปียนส์ลีก 9 นัด ยิง 2 ประตู พาทีม “หงส์แดง” คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ลีกคัพ , ยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ ทำประตูแรกในศึกแดงเดือดด้วยการเอาชนะผีแดงไป 2-0 นอกจากนี้ยังทำประตูในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพอีกด้วย

ฤดูกาล 2001-2002 จากนักเตะดาวรุ่งกลายมาเป็นหัวใจสำคัญ มีส่วนสำคัญยิ่งใหญ่ในการเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือน ปิดฉากฤดูกาลในอันดับที่ 2 ของตารางคะแนนและเป็นคำแนนที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีของสโมสร จากการลงเล่นในเกมลีก 28 นัด ยิง 3 ประตู และ เกมยูฟ่าเปียนส์ลีก 12 นัด ยิง 1 ประตู ได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Young Player of the Year)

ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นเดิมด้วยการ ลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิง 5 ประตู และ เกมยูฟ่าเปียนส์ลีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพโดยเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 2-0 โดย เจอร์ราร์ด และ ไมเคิล โอเวน มีส่วนช่วยกันทำประตู ฤดูกาลนี้จบลงที่อันดับ 5

ฤดูกาล 2003-2004 ได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่จากการรับตำแหน่งที่หนักอึ้งเป็นครั้งแรก ด้วยวัย 23 ปีปลอกแขนกัปตันสวมอยู่บนแขนของ Stevie G แทนซามี่ ฮูเปีย เจอร์ราร์ดที่โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกลายเป็นผู้เล่นที่คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ จากการลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิง 4 ประตู และ เกมยูฟ่าเปียนส์ลีก 8 นัด ยิง 2 ประตู ฤดูกาลนี้จบลงในอันดับที่ 4

2004-2007 : ช่วงเวลาแห่งชัยชนะของแชมเปียนส์ลีกและเอฟเอคัพ

ฤดูกาล 2004-2005 ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลประสบปัญหา ไมเคิล โอเว่น กองหน้าคนสำคัญ ที่ถูกขายให้ราชันรย์ชุดขาว เรอัล มาดริด ทั้งยังมีการเปลี่ยนกุนซือนำทัพคนใหม่เป็น ราฟาเอล เบนิเตซ และ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ เจอร์ราร์ด เกือบย้ายไปอยู่กับกับทีมเชลซี ท่ามกลางข่าวลือว่า เชลซี ยื่นข้อเสนอมาให้ด้วยค่าตัวมหาศาล 32 ล้านปอนด์เพราะตกลงเรื่องสัญญากับทางสโมสรไม่ได้ แต่ในท้ายที่สุดท้าย เจอร์ราร์ด ตัดสินใจอยู่กับลิเวอร์พูลต่อ

ในฤดูกาลนี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นไปรับถ้วยรางวัลชูขึ้นเหนือหัวประกาศให้โลกรู้ถึงความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูลในการพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเอาชนะ เอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ แฟนบอลหลายๆคนคงจดจำได้ถึงปาฏิหาริย์อิสตันบูลแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีพ สมัยที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร จากเหตุการณ์ที่หงส์แดงตามหลังปิศาจแดงดำถึง 0-3 ในฐานะกัปตันทีมที่ไม่ยอมแพ้โหม่งประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 จากนั้น วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ยิงประตูไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 และ ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากพลพรรคเดอะ ค็อป ที่ร้องเพลง You will never walk alone  เป็นเหตุให้ซาบี อลอนโซ่ ทำประตูตีเสมอให้กับลิเวอร์พูล เป็น 3-3 ชนิดที่แฟนบอล เอซี มิลาน ถึงกับตะลึง  เจอร์ราร์ด ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

“ผมจะย้ายออกจากทีมไปได้อย่างไร หลังจากที่มีค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้”
เหตุการณ์นี้ทำให้เจอร์ราร์ดได้รับรางวัลนักเตะทรงคุณค่าของการแข่งขันและมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ แต่ก็โดน โรนัลดินโญ่ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกันคว้าตำแหน่งไปครอง ฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 30 นัด ยิง 7 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5  เกมยูฟ่าเปียนส์ลีก 10 นัด ยิง 4 ประตู

ฤดูกาล 2005-2006 เจอร์ราร์ด เป็นกำลังสำคัญของทีมลิเวอร์พูลด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่ตก พาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลา ของเจอร์ราร์ด เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาลนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ คือ ยูฟ่าคัพ , ลีกคัพ , ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และ เอฟเอคัพ เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 32 นัด ยิง 10 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับที่ 3 เป็นรองแค่ เชลซี กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นเหตุให้เจอร์ราร์ดได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Players’ Player of the Year)

ฤดูกาล 2006-2007 เจอร์ราร์ด พาลิเวอร์พูลเอาชนะทีมเชลซีเพื่อได้ตั๋วในการเข้าไปในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และเข้าชิงกับเอซี มิลาน อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็น เอซ๊มิลานที่ล้างแค้นได้สำเร็จ ทำให้มีเพียงแชร์ริตี้ชีลด์ กับเชลซี ลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิง 7 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 นับเป็นฤดูกาลที่สองที่ได้ติดต่อกัน

2007–2012 : ช่วงเวลาความตกต่ำจบฤดูกาลมือเปล่า

ฤดูกาล 2007-2008  28 ตุลาคม 2007 เจอร์ราร์ด ลงสนามให้กับทีมลิเวอร์พูลเป็นนัดที่ 400 ในเกมที่พบกับอาร์เซน่อล และเป็นการทำประตูได้ติดต่อกัน 7 นัดรวดติดต่อกัน พาทีมเข้ารอบรองชนะเลิศ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่อาจช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีแชมป์ติดไม้ติดมือได้ เจอร์ราร์ดช่วยให้ทีมจบอันดับ 4 ทำได้แค่เพียงพาทีมไปแข่งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิง 11 ประตู

ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ด ทำได้เพียงพาทีมหงส์แดงเล่นให้ดีที่สุดตลอดฤดูกาลแต่กลับไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรได้เลย แม้ว่าจะเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด 2 นัด และทำประตูมากที่สุด เป็นเพียงสโมสรเดียวที่ไม่แพ้ใครในบ้านตลอดทั้งฤดูกาล แต่กลับจบที่อันดับที่ 2 ลงเล่น 31 นัด ยิง 16 ประตู นอกจากนี้ยังโชว์ผลงานอย่างยอดเยี่ยมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงเล่น 10 นัด ยิง 7 ประตู และทำประตูที่ 100 ให้กับ ลิเวอร์พูล บทสรุปของฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ด พาลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 2 เป็นรองเพียงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้น

ฤดูกาล 2009-2010 เป็นหนึ่งในวิกฤตของสโมสร เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 9 ประตู หากดูเพียงสถิติจะไม่แปลกใจเท่าไร แต่จริงๆลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าที่เห็นมาก ทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปีจบที่ฤดูกาลในอันดับ 7

ฤดูกาล 2010-2011 เป็นฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ไม่สามารถช่วยเหลือทีมได้อย่างเต็มที่ ทำให้ต้องพักจนจบฤดูกาล ทำให้ผลงานในพรีเมียร์ลีก อยู่ที่อันดับ 6 ลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิง 4 ประตู

ฤดูกาล 2011-2012 เป็นฤดูกาลที่ถือว่านี่คือขาลงสุดๆของทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก และ เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ช่วงต้นฤดูกาล ทั้งยังขาดผู้เล่นคนสำคัญอีกหลายคน แต่ในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตัน ลิเวอร์พูลชนะไป 3-0 และ เป็นการลงสนามนัดที่ 400 ในพรีเมียร์ลีกของเจอร์ราร์ด รวมถึงเป็นการลงสนามนัดที่ 250 ในการเป็นกัปตันทีม ลงเล่นในเกมลีก 18 นัด ยิงประตูไปได้ 5 ประตู ทำให้หงส์แดงจบลงที่อันดับ 8 ของตาราง แต่เจอร์ราร์ดสามารถนำทีมได้แชมป์ ลีกคัพ

2012–2015 : ช่วงสุดท้ายเส้นทางอาชีพกับลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2012-2013 ในฤดูกาลนี้มีเรื่องให้น่าจดจำก็คือ เจอร์ราร์ดลงสนามนัดที่ 600 ในนัดที่เจอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ผลงานในพรีเมียร์ลีกคือจบฤดูกาลที่อันดับ 7  และได้ทำประตูที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิง 9 ประตู และ ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2013 เจอร์ราร์ดต่อสัญญากับลิเวอร์พูล 2 ปี

ฤดูกาล 2013-2014 เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดเข้าใกล้ความฝันอีกครั้งที่เขาจะสามารถได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ก็เป็นเพราะเขาเองที่ทำพลาดโยนถ้วยแชมป์ให้หลุดมือไปในเกมที่พบกับเชลซีลื่นในจังหวะที่ฟลานาเกน ทุ่มคืนหลังมาให้ จนโดนเดมบ้า บา ฉกเข้าไปยิง กลายเป็นหนึ่งในตราบาปในใจของตัวเขาเอง เจอร์ราร์ดยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 13 ประตู 13 แอสซิสต์ จาก 34 นัด ช่วยให้ลิเวอร์พูลได้อันดับ 2

ฤดูกาล 2014-2015 เจอร์ราร์ด ลงสนามนัดที่ 700 ให้กับลิเวอร์พูล แม้ว่าจะเป็นการจบฤดูกกาลที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักของตัวเจอร์ราร์ดเอง ในศึกแดงเดือดที่สนามแอนฟีลด์ลงไปเล่นได้เพียง 38 วินาทีก็ถูกใบแดงไล่ออกหลังจากเจตนาเหยียบเท้า อันเดร์ เอร์เรรา กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกใบแดงเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก นอกจากนี้ เจอร์ราร์ด ได้ทำสถิติเป็นนักเตะรายที่ 12 ที่ได้ลงสนามในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทะลุถึงหลัก 500 นัด และ นัดสุดท้ายของฤดูกาล ลิเวอร์พูลก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อ สโตกซิตี ไปมากถึง 6-1 ที่สนามบริแทนเนียสเตเดียมเป็นสถิติที่ลิเวอร์พูลแพ้มากที่สุดในรอบ 52 ปี และจบฤดูกาลลงที่อันดับ 6 มีสิทธิในการเข้าไปเล่นในยูโรป้าลีก

2015-2016 : ปิดฉากการค้าแข้งกับ แอลเอ แกแลกซี

ฤดูกาล 2015-2016 เป็นการกลับมาร่วมเล่นกันอีกครั้งของเพื่อนร่วมทีมในอดีตของสโมสรลิเวอร์พูล ร็อบบี คีน ในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 เจอร์ราร์ดตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลและวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ในวัย 36 ปี ทำประตูได้ 5 ลูก และ แอสซิสต์ 14 ลูก จากการลงสนาม 34 เกม

เส้นทางสายฟุตบอลอาชีพกับทีมชาติอังกฤษ

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นเพียงตัวสำรองก็ตาม
ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตูแรกในนามทีมชาตินัดที่เจอกับเยอรมัน พาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่มแต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 เจอร์ราร์ดพาทีมอังกฤษเข้าไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบสุดท้ายได้สำเร็จจนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะพ่ายจุดโทษทีมโปรตุเกส
ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือกเจอร์ราร์ดได้ทำไป 2 ประตูพาทีมเข้ารอบสุดท้ายในอันดับ 1 ของกลุ่ม ทีมชาติอังกฤษเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ โปรตุเกส แต่ก็พ่ายในการดวลจุดโทษอีกครั้ง
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 เจอร์ราร์ดได้รับตำแหน่งได้เป็น รองกัปตันทีม ในครั้งนี้ไม่สามารถพาทีมอังกฤษเข้ารอบได้
ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงเบลารุส 3 ประตู และ โครเอเชีย 2 ประตู พาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้ายอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดไม่ค่อยได้ลงเล่นเท่าไร เพราะมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน เจอร์ราร์ดพาทีมเข้าฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ แต่อังกฤษก็ต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ว่าอังกฤษตกรอบแรกของรอบสุดท้าย และเจอร์ราร์ดก็ตัดสินใจอำลาทีมชาติหลังจากที่เล่นในนามทีมชาติมานาน 14 ปี

เปลี่ยนแปลงเส้นทางมุ่งสู่การเป็นผู้จัดการทีม

ในเดือนเมษายน 2018 เจอร์ราร์ดได้เซ็นสัญญาเข้ารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมเรนเจอส์แทน Graeme Murty สำหรับงานทางนี้เจอร์ราร์ดเรียนรู้จากเจอร์เก้น คล็อปป์และได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือทีม “หงส์แดง” ชุดยู-18

เกียรติประวัติกับทีมสโมสรลิเวอร์พูล

ชนะเลิศ เอฟเอคัพ : ฤดูกาล 2000-01, 2005-06
ชนะเลิศ ลีกคัพ : ฤดูกาล 2000-01, 2002-03, 2011-12
ชนะเลิศ เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ : ปี 2001, 2006
ชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ฤดูกาล 2004-05
ชนะเลิศ ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล : 2000-01
ชนะเลิศ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ : ปี 2001, 2005

เกียรติประวัติรางวัลส่วนตัว

Ballon d’Or Bronze Award : ปี 2005
MVP ของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : ฤดูกาล 2004-05
UEFA Club Footballer of the Year : ปี 2005
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ : ปี 2009
FWA Tribute Award : ปี 2013
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : ปี 2006
นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : ปี 2001
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ : ปี 2001, 2009
นักฟุตบอลอังกฤษแห่งปี : 2007, 2012
ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : ปี 2001, 2004, 2005, 2006, 2007, 2008, 2009
Standard Chartered Liverpool Player of the Month Award : เดือนกันยายน 2010, มีนาคม 2012, มกราคม 2013
Liverpool Player of the Season : 2005–06, 2008–09
ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล : ฤดูกาล 2004-05, 2005-06, 2008-09
ทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : ปี 2012
ทีมแห่งปีของยูฟ่า : ปี 2005, 2006, 2007
FIFA/FIFPro World XI : ปี 2007, 2008, 2009
ESM Team of the Year : 2008–09
ประตูแห่งฤดูกาล : ปี 2006
UEFA Champions League Final Man of the Match : ปี 2005
FA Cup Final Man of the Match : ปี 2006
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือน : มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009
Member of the Order of the British Empire : ปี 2007
Honorary Fellowship from Liverpool John Moores University : ปี 2008
BBC Sports Personality of the Year Award – อันดับ 3 : ปี 2005
IFFHS World’s Most Popular Footballer : ปี 2006

ชีวิตส่วนตัวสตีเวน เจอร์ราร์ด

สตีฟ (เจอร์ราร์ด) เป็นคนโรแมนติกสายเลือดสเก๊าเซอร์ตัวจริงเสียงจริง แต่งงานกับ อเล็กซ์ เคอร์แรน มีลูกสาวสองคน แต่งงานกันที่ คลิเวเดน ในวันที่ 16 มิถุนายน 2007 โดยการแต่งงานครั้งนี้ตรงกับงานแต่งงานของเพื่อนร่วมทีมชาติ 2 คน คือ แกรี่ เนวิลล์ และ ไมเคิ่ล คาร์ริค ร็อคสตาร์ 1 คน คือ ร็อด สจ๊วร์ต
ทั้งยังเขียนหนังสือ Gerrard: My Autobiography ที่เป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตส่วนตัวและชีวิตนักฟุตบอล ทำให้ได้รับรางวัลหนังสือกีฬาแห่งปี “กาแล็กซี่ บริติช บุ๊ค อวอร์ดส์”

แต่อย่างไรก็ตาม “สตีวี่จี” เป็นหนี้บุญคุณของอาชญากรคนหนึ่ง

ในปี 2001 คือปีที่สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นดาวรุ่งก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักมีเพียงไมเคิล โอเว่น คนเดียวเท่านั้นที่ยิงได้มากกว่าเขาเรียกได้ว่าเป็นคนดังของเมือง แต่คนสาธารณะมีทั้งข้อดีและข้อเสียมีคนรักมากก็เป็นเป้าของมิจฉาชีพมากขึ้น เรื่องนี้ถูกบอกกล่าวโดยพ่อของสตีวี่จี ว่า “ลูกชายของผมถูกขู่ฆ่าจากพวกนักเลงท้องถิ่นมันชื่อว่าไอ้ไซโค มันบอกกับ สตีฟ ว่าถ้าเจอหน้ากันอีกมันจะยิงขาของเขาให้พิการเดินไม่ได้ นอกจากนี้มันยังพยายามรีดไถเงินจำนวนมากอีกด้วย” ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเรื่องที่เกิด ไซโคตามกัดเจอร์ราร์ดอย่างไม่ปล่อย ไม่กลัวกฎหมายเป็นเวลานานถึง 2 ปีเต็มๆ ณ เวลานั้นไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดจากอะไรจ้างล้มบอล, ปล้นชิงทรัพย์ หรือเป็นเพียงคนโรคจิต แต่ปมของการเกิดเรื่องนี้ ถูกเฉลย ว่า ลอเรน แอชครอฟต์ แฟนเก่าของเจอร์ราร์ดมีความสวยของเธอเป็นต้นเหตุ จอร์จ บรอมลี่ย์ เป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่พยายามจีบ ลอเรน ภายหลังรู้จักชื่อเล่นในด้านมาเฟียว่า “ไอ้ไซโค” เพราะเขาคิดว่า เจอร์ราร์ด ยังไม่ยอมจบกับ ลอเรน ทั้งๆที่ตอนนั้น เจอร์ราร์ด มีแฟนใหม่คือ อเล็กซ์ เคอร์แรน ปัจจุบันกลายเป็นภรรยาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจริงๆแล้ว เหตุมาจากการที่ ลอเรน เห็นชีวิตที่ดีขึ้นของ เจอร์ราร์ด ทำให้เกิดความอาลัยอาวรณ์ว่าเธอรู้สึกพลาดที่ปล่อยให้ เจอร์ราร์ด หลุดมือไป เมื่อรำพึงรำพันทุกวันทำให้ไปเข้าหู “ไซโค” ก็หัวร้อนคิดเอาเองว่านักเตะลิเวอร์พูลกำลังเล่นหูเล่นตากับเด็กของเขา

ไซโค สติแตกในวันที่ เจอร์ราร์ด ออกรถ BMW คันใหม่ และขับมาจอดในละแวกบ้านของลอเรน ซึ่งจริงๆเจอร์ราร์ดมาพบ อเล็กซ์ เคอร์แรน แต่ความรู้สึกของไซโคมองว่า เจอร์ราร์ด มาข่มเขาถึงถิ่น ทำให้เกิดการลอบทำร้ายและข่มขู่ ถ้าหากว่าไซโคเป็นแค่นักเลงหัวไม้ธรรมดาเหตุการณืคงไม่น่าสนใจเท่าไร แต่จริงๆแล้ว ไซโค คือลูกชายของ บรอมลี่ย์ ซีเนียร์ เป็นอาชญากรและยังเป็นหัวหน้าแก๊งที่มีอิทธิพลโลกใต้ดินแบบไม่กลัวกฎหมาย

จับโจรต้องใช้โจร พอล เจอร์ราร์ด เล่นบทเกลือจิ้มเกลือติดต่อสหายเก่าแก่ที่เป็นคนมีอิทธิพลในวงการใต้ดินผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้และการฟอกเงินสกปรกให้เป็นเงินสะอาด ชายสองคนที่เคยเป็นเพื่อนกันในวัยเด็กคนหนึ่งอยู่บนเส้นทางสายขาวอีกคนหนึ่งอยู่บนเส้นทางสายดำ คินเซลล่า ตอบรับคำขอของเพื่อนสนิทมากที่สุดในวัยเด็ก และบอกกล่าวด้วยคำมั่นว่า “เดี๋ยวจบเรื่องนี้ให้เอง”

ทันทีที่ คินเซลล่า รับเรื่องแล้วเขาจบงานได้ตามสัญญา ไซโค ไม่เคยโผล่มาให้เห็นหน้าแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่างคินเซลล่าจะเป็นอาชญากรที่ทำผิดกฎหมาย แต่ พอล เจอร์ราร์ด ยังคงชื่นชม คินเซลล่า ต่อหน้าทุกคนว่าต่อให้คุณจะเลวแค่ไหนคุณยังคงเป็นคนที่ผมเคารพเสมอ และไขข้อข้องใจด้วยการเฉลยว่าเขา คือ คนที่ทำให้คนที่ตามรังควานกัปตันทีมลิเวอร์พูลมากกว่า 2 ปี จึงหยุดการกระทำอันเลวร้าย

คำกล่าวที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในเหตุการณ์นี้ คนเราล้วนตัดสินคนอื่นจากมุมมองของตัวเองทั้งนั้น จอห์น คินเซลล่า อาจจะเลวสุดขั้นในฐานะคนทำผิดกฏหมาย แต่หากมองในมุมครอบครัวเจอร์ราร์ด แล้ว เขาคือชายผู้สร้างศึกในโลกใต้ดินเพียงเพื่อปกป้อง สตีเว่น เจอร์ราร์ด แฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นหนี้ คินเซลล่า เพราะหากไม่มีเขา เจอร์ราร์ด อาจจะถูกยิงไม่ตายก็พิการไปตลอดชีวิต หากไม่มีเขาตำนานกัปตันทีมหมายเลข 8 ลิเวอร์พูล อาจจะไม่เกิดขึ้น