คนภายนอกมักมองนักฟุตบอล และผู้จัดการทีม เปรียบเสมือนพระเจ้า แต่พวกคุณก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอล

หนึ่งในเรื่องราวของความล้มเหลวเหล่านั้นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ หากมองย้อนกลับไปถึงปี 2011 กับทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในยุคสมัยที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังได้คุมทีมสโมสรแห่งนั้น เกมที่ยิ่งใหญ่กับการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมๆกับทีมบาเยิร์น มิวนิค ที่สโมสรของพวกเราในตอนนั้นไม่เคยชนะมาตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี แรงบันดาลใจที่นำมาใช้ในการกระตุ้นลูกทีมจากความคิด เพื่อสร้างแรงผลักดันเหมือนกับการบรรจุสิ่งเหล่านั้นลงในหลักสูตรเช่นเดี๋ยวกับการเริ่มต้นอ่าน A-Z อย่าง หนังเรื่อง ร๊อคกี้ เพื่อให้เกิดความทะเยอทะยานอย่างเต็มที่

ในคืนก่อนลงแข่งขันกับทีมเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เรียกนักเตะและทีมงานมารวมตัวกันในห้องและนั่งลง จากนั้นก็ปิดไฟทุกดวงพร้อมกับประโยคที่แสนโหดร้าย“ครั้งสุดท้ายที่ ดอร์ทมุนด์ ชนะที่สนามของ บาเยิร์น มิวนิค พวกเอ็งส่วนใหญ่ยังเป็นทารกกันอยู่เลย”

จากนั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เล่าถึงฉากที่เด็ดมากที่สุดฉากหนึ่งของหนังเรื่อง ร๊อคกี้ 4 ที่ ร็อคกี้ ต้องสู้กับ อิวาน ดราโก้ ฉากสุดคลาสสิค ระหว่างนักมวยที่ใช้วิทยาศาสตร์ทางด้านกีฬาพร้อมเทคโนโลยีอันเพียบพร้อม ซึ่งหากนำเอามาเปรียบเทียบ อิวาน ดราโก้ คือ บาเยิร์น มิวนิค ที่ถูกสร้างขึ้นให้กลายเป็นนักมวยที่เพอร์เฟ็ค จากสิ่งแวดล้อมที่เพอร์เฟ็ค และที่สำคัญ เขาไม่เคยแพ้

ส่วนทางด้าน ร๊อคกี้ ที่ฝึกฝนอยู๋ภายในกระท่อมเล็กๆภายในไซบีเรียท่ามกลางความหนาวเหน็บ มีเพียงการฝึกแบบไม่ย่อท้อเท่านั้น ด้วยการตัดต้นสนก่อกองไฟบนยอดเขา ร๊อคกี้ คือพวกเราโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นทีมที่เล็กกว่า แต่พวกเรารักในสิ่งที่ทำ! พวกเรามุ่งหวังที่จะเป็นแชมเปี้ยน! และพวกเราสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้

บรรยากาศเงียบจนได้ยินเสียงแอร์ ดวงตาว่างเปล่าไร้จุดหมาย ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า หนังเรื่องร็อคกี้ เด็กพวกนี้ใครบ้างจะรู้จัก เพราะหนังมันตั้งแต่ยุค 80s จึงเกิดคำถามที่ว่าใครรู้จัก ร๊อคกี้ บัลโบ้ มีแต่ 2 คนเท่านั้นที่รู้จัก คือ เซบาสเตียน เคห์ล และ แพทริก โอโวโมเยล่า

คำพูดปลุกใจทั้งหมดที่พูดมานั้น ไร้ค่า! ในเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาล หรืออาจจะเป็นเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนักเตะบางคนด้วยซ้ำ การที่คุณตั้งใจที่จะให้คำพูดของคุณกลายเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร๋ของวงการฟุตบอล แต่มันกลับกลายเป็นคำพูดไร้สาระอย่างสิ้นเชิง ความอับอายนี้ แม้ว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ที่แปลกที่สุดในเรื่องนี้ คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่มีความมั่นใจเลยว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรหลังจากที่พูดเรื่องเหล่านั้นออกไป แต่บทสรุปที่ออกมา คือ ชนะ 3-1 ทำให้เกิดความคิดที่ว่า นักเตะในทีมทำได้ดีกว่าเรื่องที่เล่า แม้ว่าจะไม่มั่นใจในตัวพวกเขา ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งจากฟุตบอลก็คือ สิ่งที่ไม่ได้คาดหวังสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ มันเป็นเรื่องราวเล็กๆ ที่ยากที่จะลืม

ฟุตบอลนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่ช่วยทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจ และสนุกไปกับมันจำนวนคน 98% ของคนในวงการฟุตบอล ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ล้มเหลว แต่พวกเขาก็ยังสามารถยิ้มได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นพระเจ้า แต่พวกเขาคือผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อความฝัน

สิ่งที่ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ประสบความสำเร็จในฐานะผู้จัดการทีมเกิดจากความล้มเหลวในระดับหายนะ จากเกมที่ลิวเวอร์พูลแพ้บาร์เซโลน่า 3-0 ในแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นผลลัพท์ที่เลวร้ายที่สุด การเล่นในนัดที่ 2 เจอร์เก้น คล็อปป์พูดความจริงกับพวกเขาว่า “พวกเราต้องเล่นโดยที่ไม่มี 2 กองหน้าที่ดีที่สุดในโลก คือ เมสซี่ และ โรนัลโด้ แม้ว่าคนทั้งโลกจะพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ!!สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันสามารถเกิดขึ้นได้ มันไม่เกี่ยวกับเทคนิคหรือความสามารถเพราะปาฎิหารย์สร้างขึ้นมาได้ จาก 54,000 คนที่ส่งเสียงกันที่แอนฟิลด์ ทำให้พวกเราสร้างปาฏิหาริย์ได้

ฟุตบอล คือ อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้เช่นเดียวกับหนัง แต่เกมฟุตบอลมีไว้เพื่อใคร? เกมนี้มีไว้สำหรับนักล่าฝัน

credit: https://www.theplayerstribune.com/en-us/articles/jurgen-klopp-liverpool-fc